ทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า ระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) มีบทบาทสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก และผู้บริหารทุกคนต่างก็มองหาแนวทางในการนำ AI มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวมถึงยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งสิ้น
โดยในปี 2024 นี้ เทรนด์ของการใช้งาน AI หรือเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับ AI เด่นๆ นั้นมีอะไรบ้าง? เราจะมาแจกแจงให้ทุกท่านได้ทราบกัน
เครื่องมือ AI เพื่อสร้างประสบการณ์ของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น
AI Chatbot : เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการลูกค้าอย่างราบรื่น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา AI Chatbot ได้พัฒนาขึ้นอย่างมากทั้งในด้านความสามารถและความซับซ้อนในการทำงานเป็นอย่างมาก และได้กลายเป็นหนึ่งใน AI Tools ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในระดับของธุรกิจ อาทิ
- เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้าได้แบบไร้ขีดจำกัด เนื่องจาก AI Chatbot สามารถให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วันต่อสัปดาห์ สามารถตอบคำถามลูกค้าได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว และสามารถแนะนำสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าได้
- ลดต้นทุนการดำเนินงาน เนื่องจากAI Chatbot สามารถทำงานอัตโนมัติแทนพนักงานบางส่วน ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าจ้างและค่าสวัสดิการ
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ตัว AI Chatbot สามารถลดภาระงานที่จำเจ ส่งผลให้พนักงานเปลี่ยนไปทำงานที่ซับซ้อนกว่าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ด้วย AI Chatbot จะสามารถช่วยให้ธุรกิจสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
AI Fraud Detection : เช็กเอกสารสำคัญที่มีโอกาสปลอมแปลงเข้าสู่ระบบด้วย AI
การตรวจสอบเอกสารปลอม โดยเฉพาะบัตรประชาชน เป็นหนึ่งในงานสำคัญที่ AI สามารถเข้ามาช่วยได้ ด้วยการเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ในการวิเคราะห์ข้อมูลภาพและข้อความบนบัตรประชาชนเพื่อตรวจจับความผิดปกติ เช่น ข้อมูลบนบัตรไม่ตรงกัน ลายเซ็นปลอม หรือรูปถ่ายปลอม มี Microprint, Hologram หรือ Redline ที่ปรากฏบนรูปภาพหรือไม่ เป็นต้น
การนำ AI มาใช้ในการตรวจสอบเอกสารปลอมโดยเฉพาะบัตรประชาชน มีข้อดีหลายประการ เช่น
- มีความแม่นยำสูง เนื่องจาก AI สามารถตรวจจับความผิดปกติบนเอกสารปลอมได้อย่างแม่นยำ และสามารถคัดกรองบัตรประชาชนด้วยเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งช่วยลดโอกาสในการปลอมแปลงเอกสารสำคัญได้
- ช่วยลดต้นทุนและเวลา แน่นอนว่าการนำเอา AI เข้ามาช่วย จะส่งผลให้ภาคธุรกิตสามารถลดต้นทุนและเวลาในการตรวจสอบเอกสารลงได้เป็นอย่างมาก
AI Speech-to-text : แปลงเสียงของผู้ให้บริการเป็นข้อความเพื่อเช็กคุณภาพของทีมให้บริการลูกค้า
หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จของทุกธุรกิจ นั่นก็คือการพัฒนาคุณภาพในการให้บริการลูกค้า ซึ่งขั้นตอนการตรวจสอบการทำงาน (QC) ของผู้ให้บริการลูกค้าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยการนี้ AI Speech-to-text หรือเทคโนโลยีการแปลงเสียงพูดเป็นข้อความ สามารถช่วยตรวจสอบการทำงานของผู้ให้บริการลูกค้าได้โดยไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงงาน
- ตรวจสอบความเหมาะสมของคำพูด การนำเอา AI Speech-to-text สามารถช่วยตรวจสอบความเหมาะสมของคำพูดของผู้ให้บริการลูกค้า เช่น การใช้คำสุภาพ การใช้คำศัพท์ที่ถูกต้อง หลีกเลี่ยงการใช้คำหยาบคาย เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับความประทับใจในการให้บริการ
- ตรวจสอบการแก้ปัญหา AI Speech-to-text สามารถช่วยตรวจสอบการแก้ปัญหาของผู้ให้บริการลูกค้า เช่น ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา ความถูกต้องในการแก้ไขปัญหา เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถมั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพ
- ลดภาระงานของผู้ตรวจสอบ เนื่องจากการใช้งาน AI Speech-to-text จะสามารถทำการสรุป (Summarize) บทสนทนาให้กระชับ เข้าใจง่าย ไม่ต้องเสียเวลามานั่งฟังทีละประโยค ลดการสิ้นเปลือง Manhour ได้เป็นอย่างดี
AI OCR : แปลงภาพเป็นข้อมูล Text เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์และประมวลผลสำหรับวางแผนธุรกิจ
OCR หรือ Optical Character Recognition ถือเป็นหนึ่งใน AI Tools ที่สามารถแปลงข้อมูลตัวอักษร จากเอกสารรูปภาพหรือเอกสารกระดาษให้กลายเป็นข้อมูลแบบดิจิทัลได้ เทคโนโลยี OCR มีประโยชน์มากมายสำหรับธุรกิจและองค์กรต่างๆ ในการแปลงเอกสารสำคัญต่างๆ เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาบัตรเครดิต ใบเสนอซื้อ ใบเสนอขาย ใบเสร็จ ฯลฯ ให้กลายเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล เพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจต่อได้ง่ายยิ่งขึ้น
ตัวอย่างการนำ OCR มาใช้แปลงเอกสารสำคัญต่างๆ ให้กลายเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล มีดังนี้
- ธุรกิจการเงิน ธุรกิจการเงิน เช่น ธนาคาร สถาบันการเงิน บัตรเครดิต สินเชื่อ ฯลฯ สามารถใช้ OCR เพื่อแปลงข้อมูลบนสำเนาบัตรประชาชน สำเนาบัตรเครดิต ใบแจ้งยอดบัญชี ฯลฯ ให้กลายเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล เพื่อใช้ในการตรวจสอบข้อมูลลูกค้า อนุมัติสินเชื่อ หรือติดตามหนี้สิน
- ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจค้าปลีก เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ฯลฯ สามารถใช้ OCR เพื่อแปลงข้อมูลบนใบเสร็จรับเงิน ใบสั่งซื้อ ใบกำกับภาษี ฯลฯ ให้กลายเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล เพื่อใช้ในการติดตามการขาย วิเคราะห์ยอดขาย หรือจัดทำบัญชี
- ธุรกิจการผลิต ธุรกิจการผลิต เช่น โรงงานอุตสาหกรรม โรงงานผลิตอาหาร โรงงานผลิตยา ฯลฯ สามารถใช้ OCR เพื่อแปลงข้อมูลบนใบสั่งผลิต ใบกำกับสินค้า ใบรับรองคุณภาพ ฯลฯ ให้กลายเป็นข้อมูลแบบดิจิทัล เพื่อใช้ในการวางแผนการผลิต ควบคุมคุณภาพ หรือติดตามสต็อกสินค้า
สรุป
จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีและเครื่องมือ AI ในปัจจุบันนั้น มีแนวทางการใช้ (Use case) มากมาย ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับภาคธุรกิจได้หลากหลายประเภท ดังนั้นหากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะหยิบเอาเครื่องมือ AI ตัวใดมาใช้กับกระบวนการทำงานของธุรกิจคุณ ทางแอพแมนก็สามารถให้คำปรึกษาและช่วยเหลือ เพื่อให้องค์กรของคุณสามารถประยุกต์ใช้ AI กับกระบวนการทำงานของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ