ในยุคปัจจุบันที่สังคมเต็มไปด้วยโซเชียลเน็ตเวิร์ค และแอปพลิเคชั่นที่ช่วยอำนวยความสะดวกมากมาย แต่ถึงกระนั้นเทคโนโลนีเหล่านี้ก็แอบแฝงมาด้วยความเสี่ยงมากมาย โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคล ที่มีโอกาสหลุดรอดไปถึงมือมิจฉาชีพ หรือผู้ที่ไม่หวังดี ทำให้ปัจจุบันได้มีสิ่งที่เรียกว่า “ระบบยืนยันตัวตน” เทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่นิยมสำหรับผู้ประกอบการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ต้องมีการบันทึกข้อมูลของลูกค้า ซึ่งระบบยืนยันตัวตนที่ใช้ในปัจจุบันก็จะแบ่งออกเป็น KYC และ E-KYC ซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงความแตกต่างของระบบการยืนยันตัวตนทั้งสองประเภทว่ามีการทำงานอย่างไรบ้าง และต่างกันยังไง
การยืนยันตัวตนแบบ ‘KYC’
KYC หรือ Know Your Customer มีความหมายตามตัวว่า การทำความรู้จักลูกค้าผ่านการยืนยันตัวตน โดยจะเป็นข้อกำหนดทางจริยธรรมที่ทุกบริษัทการเงินจะต้องมี เพื่อเป็นการคุ้มครองข้อมูลส่วนตัว และสิทธิประโยขน์ต่าง ๆ ของลูกค้า และป้องกันการปลอมแปลงข้อมูล หรือการนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ในทางผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงิน การนำข้อมูลไปใช้ในการปลอมแปลงเอกสาร เป็นต้น
การทำงานของ KYC
สำหรับการทำงานของ KYC จะเริ่มตั้งแต่การที่ลูกค้า ได้ทำการเข้าสมัครเป็นสมาชิก หรือลงทะเบียนเพื่อใช้บริการ โดย KYC จะทำหน้าที่ในการขอข้อมูลเพื่อระบุตัวตน ก่อนที่จะทำการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของลูกค้า เพื่อเป็นการยืนยันว่าตัวตนของลูกค้านั้นมีจริง ๆ และไม่ใช่บุคคลที่มีประวัติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางการเงิน ซึ่งจะเป็นการดำเนินงานผ่านกระบวนการที่เรียกว่า CDD (Customer Due Diligence)
CDD เป็นขั้นตอนในการรวบรวมข้อมูลการระบุตัวตนของลูกค้า เช่น ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลเชิงธุรกิจที่เกี่ยวข้อง CDD นับว่าเป็นรากฐานสำคัญของ KYC ที่นอกจากจะช่วยในการยืนยันตัวตนแล้ว ยังเป็นกระบวนการที่ทำให้มั่นใจว่าลูกค้านั้นมีความซื่อสัตย์ และเชื่อใจได้
3 ข้อดีและประโยชน์ของ KYC
1. ช่วยป้องกันการก่ออาชญากรรมทางการเงิน
กระบวนการทำงานของ KYC จะช่วยให้ทางบริษัทการเงิน รวมถึงภาครัฐ สามารถป้องกันการก่ออาชญากรรมทางการเงินในแต่ละรูปแบบได้ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการฟอกเงิน ที่หวังเข้ามาใช้จุดอ่อนของระบบการเปิดบัญขีธนาคาร ในการปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งการยืนยันตัวตนของ KYC จะสามารถป้องกันการปลอมแปลงตัวตนของผู้ไม่หวังดีที่จะมาเบิดบัญชีได้
โดย KYC จะใช้วิธีการยืนยีนตัวตน ผ่านขั้นตอนการแสดงตัว และการตรวจประวัติลูกค้าโดยพนักงาน ซึ่งจะทำการตรวจสอบตัวตนบุคคลนั้น ๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริง ๆ และไม่มีประวัติอาชญากรรม
2. มีขั้นตอนการทำงานที่สะดวกสบาย
การยืนยันตัวตนโดย KYC จะต่างจากการให้ข้อมูลยืนยันตัวตนแบบดั้งเดิม ด้วยการที่ลูกค้า สามารถดำเนินการยืนยันตัวตนที่สะดวกสบาย ไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารมากมายหลายขั้นตอน ไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลเดิมๆ ซ้ำหลายรอบ ทำให้สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ และบริการที่ง่ายมากยิ้งขึ้น
3. เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
นอกจากจะช่วยป้องกันจากอาชญากรรม หรือการทุจริตทางการเงินแล้ว KYC ยังทำหน้าที่ในการช่วยปกป้องข้อมูลต่างๆ ของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลบัตรเครดิต ข้อมูลบัตรประชาชน ไม่ให้หลุดรอดไปถึงมิจฉาชีพ ที่นำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ในทางที่ผิด และยังเพิ่มความโปร่งใส เพิ่มความน่าเชื่อถือให่แก่บริษัทที่มี KYC ในการยืนยันตัวตนอีกด้วย
การยืนยันตัวตนดิจิทัลแบบ E-KYC
E-KYC ย่อมาจาก Electronic Know Your Customer เป็นการทำความรู้จักลูกค้าด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่เพิ่มความรวดเร็ว และทันสมัยมากขึ้น โดยจะมีการเพิ่มเติมเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อนำมาสนับสนุนการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็น การใช้เทคโนโลยีการรู้จำอักขระด้วยแสง (OCR) ในการแปรข้อมูลต่าง ๆ และการใช้แอปพลิเคชั่นในการยืนยันตัวตนในรูปแบบออนไลน์ผ่านหน้าจอโทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว
เทคโนโลยี OCR หรือการอ่านอักขระด้วยแสง เป็นเทคโนโลยีที่จะทำหน้าที่แปรผลข้อมูลด้วยการอ่านข้อความที่อยู่บนรูปภาพ ให้ออกมาในรูปแบบข้อความดิจิทัลที่สามารถทำการแก้ไข เพิ่มเติม ผ่านคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานประหยัดเวลาในการพิมพ์ข้อความ หรือกรอกข้อมูลต่าง ๆ เรียนรู้เพิ่มเติม
การทำงานของ eKYC
สำหรับการทำงานของ eKYC อาจมีรูปแบบการทำความรู้จักลูกค้า หรือการยืนยันตัวตนที่ยกระดับมาจากการยืนยันตัวตนแบบ KYC แต่จะมาในรูปแบบของเทคโนโลยีมีความล้ำสมัยมากขึ้น แต่ความต่างจะเป็นรูปแบบการดำเนินการที่รวดเร็ว ทันสมัย ประหยัดเวลา และประหยัดทรัพยากรมากขึ้น โดยลูกค้าสามารถทำทุกขั้นตอนผ่านแอปพลิเคชั่นเป็นหลัก
ความสะดวกของ E-KYC คือการลดความยุ่งยากทั้งหมดของการทำธุรกรรม ด้วยการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วย มีการลดขั้นตอนการกรอกข้อมูลด้วยการสามารถใช้ OCR ในการแสกน และกรอกข้อมูลให้อัตโนมัติ และการใช้ เทคโนโลยี Face-to-Face หรือ VDO Conference ในการยืนยันใบหน้าของลูกค้า จากนั้นข้อมูลทุกอย่างก็จะขึ้นให้ลูกค้าทำการตรวจสอบอีกครั้งเพื่อยืนยันความถูกต้อง เพียงเท่านี้ก็สามารถดำเนินการยืนยันตัวตนเสร็จสิ้น และข้อมูลที่กรอกจะถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลที่เป็นส่วนกลาง ที่สามารถมั่นใจว่าข้อมูลจะปลอดภัย ไม่รั่วไหล
3 จุดเด่นของระบบยืนยันตัวตนดิจิทัล eKYC
1. เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ในการทำการยืนยันตัวตน
การใช้ eKYC ในการทำความรู้จักลูกค้า ทำให้การติดต่อทำธุรกรรมทางการเงินยกระดับความทันสมัย และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยลูกค้าสามารถทำการติดต่อกับบริษัททางการเงินเพื่อทำการสมัครเพื่อขอใช้บริการ ด้วยการดำเนินการผ่านแอปพลิเคชั่นออนไลน์ สามารถทำการยืนยันตัวตนด้วยการเซลฟี่ผ่านหน้าจอมือถือ ที่สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ต้องเตรียมเอกสาร หรือเสียเวลาเดินทางใดๆ
นอกจากนี้ eKYC ยังช่วยประหยัดเวลาในการดำเนินงาน โดยใช้เวลาในการยืนยันตัวตนเพียง 5 – 10 นาที เพราะช่วยลดขั้นตอนต่าง ๆ ที่ยุ่งยากจากการยืนยันตัวตนแบบ KYC ที่ใช้เวลาในการดำเนินการประมาณ 30 นาที ในการซักข้อมูลต่าง ๆ
2. ยกระดับนวัตกรรมการทำธุรกรรมทางการเงิน
นอกจาก eKYC จะช่วยให้การยืนยันตัวตนทำได้สะดวกสบายแล้ว ยังช่วยเปลี่ยนแปลงการทำธุรกรรมทางการเงิน ให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ด้วยการที่ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชั่นด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินไปยังบัญชีต่าง ๆ หรือการจ่ายค่าสินค้า และบริการ ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมต่างๆ แบบไร้การสัมผัส เหมาะอย่างยิ่งกับในสังคม New Normal
อีกหนึ่งความทันสมัยจาก E-KYC คือการสามารถกรอกข้อมูลส่วนตัวอัตโนมัติ เพียงการแสกนหน้าบัตรประชาชน ทำให้ลูกค้าสามารถประหยัดเวลาในการที่จะต้องกรอกข้อมูลเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา พร้อมทั้งการยืนยันตัวตนดิจิทัล ยังใช้เทคโนโลยี Automation ด้วยระบบ AI ในการเปรียบเทียบผ่านบัตรประชาชน ที่ให้ผลข้อมูลที่แม่นยำมากขึ้น
3. เพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น
ด้วยความที่ E-KYC เป็นเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการทำธุรกรรมต่างๆ แบบไร้การสัมผัส ทำให้เพิ่มโอกาสในการที่บริษัทจะสามารถหาทางเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เช่น ลูกค้าที่อยู่ต่างเขต หรือต่างภูมิภาค ที่สามารถติดต่อเพื่อขอร่วมทำธุรกรรมได้โดยที่ไม่ต้องเดินทางมาติดต่อด้วยตัวเอง นอกจากนี้ E-KYC ยังมีรูปแบบการใช้งานที่เอื้อต่อคนที่ไม่เชี่ยวชาญเทคโนโลยี ให้สามารถเข้าถึง และใช้งานบริการ หรือผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น
โดยสรุป KYC และ E-KYC ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะแก่การทำธุรกรรมต่าง ๆ ในยุคนี้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่ทำธุรกรรมด้านการเงิน ที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล และการยืนยันตัวตนของลูกค้า พร้อมทั้งยังต้องดูแลรักษาข้อมูล และการเงินของลูกค้า เป็นหลัก ซึ่ง E-KYC คือเทคโนโลยีที่เพิ่มนวัตกรรมที่ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ และบริการ ได้ง่าย สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เป็นนวัตกรรมที่เหมาะอย่างยิ่งแก่องค์กร หรือบริษัททางการเงินในยุคปัจจุบัน ที่ต้องอาศัยความสะดวกสบาย ความทันสมัย และเทคโนโลยีที่พร้อมอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าเป็นจุดขาย
เปรียบเทียบ KYC กับ E-KYC แตกต่างกันอย่างไร ?
KYC | E-KYC |
ต้องเดินทางไปยืนยันตัวตนที่สาขาเท่านั้น | สามารถยืนยันตัวตนแบบออนไลน์ และทำได้ทุกที่ |
ต้องกรอกข้อมูลต่าง ๆ ด้วยตัวเอง | ระบบสามารถดึงข้อมูล และกรอกแบบอัตโนมัติ เพียงถ่ายรูปบัตรประชาชน |
ต้องแสดงตัวตนต่อหน้าเจ้าหน้าที่ | สามารถแสดงตัวตนด้วยการเซลฟี่ ผ่านหน้าจอมือถือ |
ตรวจสอบข้อมูลของลูกค้า และเปรียบเทียบกับข้อมูล จากเอกสารประจำตัวด้วยพนักงานหลายคน | เปรียบเทียบข้อมูลลูกค้ากับบัตรประชาชน แบบ Automation ด้วยระบบ AI |
ใช้เวลาดำเนินการโดยเฉลี่ยครึ่งวันทำการ | ใช้เวลาดำเนินการทั้งหมดเฉลี่ย 3 นาที |
ให้บริการได้เฉพาะวันทำการ | ให้บริการทุกวัน 24 ชั่วโมง |
APPMAN E-KYC ระบบยืนยันตัวตนดิจิทัล
พร้อมเทคโนโลยีระดับโลก ตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าสำหรับภาคธุรกิจ